throwback : JINNY #dongren #จีบแจม #จินนี่จ๊ะ

 

1d68a17b7b0c44ec5f5c405504c4aa4d

chain_ch posted a photo

hbd.

23 March 2017

 

 

“มึงรู้จักคนนั้นเหรอวะ”

“หืม คนไหน”

“หน้าหมวยๆ กระโปรงแดงอะ”

“อ่า…ก็…”

ครับ

ก็ไม่เชิงรู้จัก

แต่ก็นั่นแหละ

“รู้จักๆ”

เชนตอบพร้อมกับหันไปมองคนที่โดนพาดพิงในบทสนทนา เพื่อนของเขาไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ไม่แน่ใจเท่าไหร่นักว่าควรใช้คำอะไรอธิบาย กรุ้มกริ่มเหรอ? ก็ประมาณนั้น แต่จริงๆ มันอาจจะแค่ยิ้มเฉยๆ เหมือนปกติ

“ไปรู้จักกันตอนไหนวะ เมื่อกี้กูเห็นนะเว้ย ว่าชวนมึงกินขนมอะ”

ไม่ปกติละว้อย

“ขี้เสือกอ่า”

เพื่อนจอมยุ่งเรื่องชาวบ้านอย่างลูคัสทำทีเป็นถามเสียงเบาเพราะกลัวเจ้าตัวจะได้ยิน แต่พอโดนเขาด่ากลับ ก็เล่นโห่แซวเสียงดังตามนิสัยจนเด็กสาวหน้าหมวยคนนั้นยังหันมามอง เชนตบหัวมันไปทีก่อนจะดึงให้มันนั่งลงดีๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องคุยกันเสียงดัง

“ยังไง เล่าดิว้า ไอ้มาร์ครู้ปะเนี่ย ไม่ใช่ว่ากูยังไม่รู้คนเดียวนะ”

“มึงจะอะไรนักหนาวะเนี่ย ไอ้มาร์คยังไม่รู้”

เขายังไม่ได้เล่าให้ใครฟังทั้งนั้นล่ะ

“แล้วก็เป็นแค่เพื่อนด้วย จะตื่นเต้นโวยวายไปทำไม”

เสริมต่ออีกประโยคหลังจากโดนมันมองด้วยสายตาจับผิด

“แล้วรู้จักกันตอนไหนวะ”

“ตอนที่มึงโดดเรียนไปสองอาทิตย์ไงครับไอสาส”

ลูคัสหัวเราะและยิ้มแห้งๆ กลบเกลื่อนความคิด แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ พี่ที่สอนพิเศษก็เข้ามาก่อนทำให้ทุกคนต่างรีบเดินกลับไปนั่งที่ ไม่มีใครชวนใครคุยอีก

วันศุกร์เย็นที่ต้องมาเรียนพิเศษไม่ใช่ TGIF ในฝันของเขา แน่นอนว่าหลังจากเรียนมาเหนื่อยๆ ทั้งวันเขาก็ต้องอยากกลับบ้านไปเล่นเกม ไม่ก็ออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน เรียนมาทั้งวันเช้าจรดเย็นแบบนี้ พูดเลยว่าตาแทบปิด

“เชน”

ในขณะที่เชนจะเตรียมเข้านอนแล้ว เสียงเคาะนิ้วบนโต๊ะข้างๆ ดังขึ้นทำเอาเขาสะดุ้งตัวจนเผลอปัดหนังสือตก กลายเป็นเป้าสายตาของคนในห้อง ลูคัสขมวดคิ้วและหัวเราะเบาๆ กับท่าทางของเขาก่อนจะช่วยเก็บของให้ เชนก้มหัวขอโทษคนรอบข้างและพี่ที่สอนพิเศษ ก่อนจะจัดวางหนังสือดีๆ อีกครั้ง เหลือบมองไปทางต้นตอของเสียงที่ยกมือขอโทษเขา หน้าตารู้สึกผิดจับใจ

“มีอะไรเปล่า” เชนเลิกคิ้ว ขยับปากถามเสียงเบา

“มีไส้ดินสอปะ”

เด็กสาวดวงตาเรียวเล็กที่นั่งห่างออกไปราวๆ สองที่นั่งถาม ก่อนหน้านี้ก็เป็นเธอนี่แหละที่เอื้อมแขนมาจนสุดตัวเพื่อเคาะโต๊ะเรียกเขา เธอถามย้ำอีกครั้งว่า ‘มีปะ’ มันช่วยเรียกสติของเชนให้เข้าที่เข้าทาง พลางล้วงหาไส้ดินสอกดในกระเป๋าของตัวเอง

ไม่มี

เขาขยับปากตอบกลับไปจนแทบจะไร้เสียง เธอทำหน้าเสียดายแต่ก็เอ่ยขอบคุณเขา ก่อนจะหันไปยู่ปากกับเพื่อน เชนได้ยินเสียงบ่นว่า ไม่อยากใช้ปากกาจดเลย เขาไม่ได้หันไปสนใจอะไรอีก แต่ลึกๆ แล้วในใจเหมือนยังติดอยู่กับเมื่อหลายนาทีก่อน ไม่สามารถสลัดความสนใจออกจากเรื่องของคนที่นั่งถัดไปไม่ไกลได้

สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง

เชนยื่นแขนไปใกล้ๆ โต๊ะของอีกฝ่าย ส่งดินสอกดในมือตัวเองให้เธอที่หันมามองด้วยความฉงน เขาพูดต่อคลายความสงสัย “ให้ยืม” เด็กสาวตาโตขึ้นมาทันที รีบปัดมือไปมาพลางบอกเขาว่าไม่เป็นอะไร แต่สุดท้ายเชนก็เอื้อมมือจนสุดแขน วางดินสอของเขาลงบนโต๊ะของเธอ

“แล้วเธอเอาไรเขียนอะ”

“ไม่เขียนอยู่แล้ว”

“นั่น เด็กไม่ตั้งใจเรียน” เอ่ยแซวเขาก่อนจะยิ้มจนตาปิด “ไงก็ขอบคุณมากนะ”

“อื้อ ชิวๆ ตั้งใจเรียนเหอะ”

เราต่างฝ่ายต่างกลับมาสนใจการเรียนการสอนตรงหน้าอีกครั้ง แต่เมื่อเชนเหลือบตามองไปอีกด้านหนึ่ง เพื่อนสนิทอย่างลูคัสกำลังยิ้มล้อเลียนเขาพร้อมกับพูดว่า “เพื่อนกันเนอะ” เชนกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่ายกับการชงไม่เลิกของมัน ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้รู้เรื่องเท่าไหร่เลย

สองอาทิตย์ที่ลูคัสโดดเรียนไป เขาบอกได้เลยว่ามันพลาดไปหลายเรื่อง ทั้งเนื้อหาในบทเรียน ทั้งเรื่องของเขา

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนแม้แต่ตอนนี้เชนก็ยังงงๆ ว่ามันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง

จากจุดที่เคยได้แต่นั่งมองเด็กสาวหน้าหมวยจากโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังอยู่ห่างๆ ไม่เคยได้สนทนาอะไรกัน ไม่เคยรู้ชื่อของกันและกัน ไม่เคยรู้อะไรเลย สู่จุดที่อยู่ๆ เธอก็ยื่นซองขนมมาให้เขา ถามว่า ‘กินปะ’ หรือแม้แต่การเรียกชื่อของเขา

มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อสองสัปดาห์ก่อน หลังจากที่การเรียนจบลง นักเรียนกำลังทยอยเก็บของออกจากห้องเรียนพิเศษ วันนั้นลูคัสโดดเรียนโดยอ้างว่าติดธุระกับที่บ้าน แต่เขารู้ดีว่ามันแอบหนีไปดูหนังกับรุ่นพี่คนสนิทที่เทียวจีบเทียวตื๊อมานาน โต๊ะเรียนข้างๆ เขาจึงว่าง ไม่มีใครจับจอง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่ลูคัสที่แอบหนีเรียน มันเป็นวันที่ห้องดูโล่งกว่าที่เคย มีนักเรียนเข้าเรียนเพียงไม่กี่คน สุดท้ายพวกเราจึงต้องเขยิบมานั่งรวมกัน ไม่ใช่กระจายที่นั่งกันอย่างแต่ก่อน

นั่นเป็นครั้งแรกที่เชนได้อยู่ใกล้เธอ

ฮ่ะ ยังไม่ต้องคิดไปไกล พวกเราไม่ได้คุยกันหรือทำความรู้จักกันเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะนั่นดูจะธรรมดาเกินกว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่พวกเรารู้จักกัน

‘เชี่ยยยย’

นั่นคือคำแรกที่เธอเอ่ยออกมาต่อหน้าเขา เธออุทานออกมาด้วยความตกใจ

‘ขอโทษๆๆ’

สองมือเล็กเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ถูก ล้วงหากระดาษทิชชู่จากกระเป๋าผ้าของตัวเอง เธอพยายามจะยื่นมือเข้ามาเช็ดแขนของเขา ซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยชามะนาวที่น้ำแข็งละลายจนน่าจะจืดชืดแล้ว นึกย้อนไปเมื่อไม่ถึงสองนาทีก่อน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเชนยังไม่ทันจะตกใจอะไร เด็กสาวโรงเรียนบ้านใกล้เรือนเคียงกับเขาก็ตกใจใหญ่แทนเขาไปหมดแล้ว หลังจากเธอเผลอชนแก้วน้ำของตัวเองซึ่งตั้งบนโต๊ะๆ ข้างเขา จนมันล้มเทลงมาบนแขนของเชนเต็มๆ

‘แง เราขอโทษจริงๆ’ เธอทำหน้าเบะเหมือนจะร้อง ขอโทษขอโพยเขาซ้ำไปมาเป็นสิบรอบจนเชนต้องบอกให้ใจเย็น เขารับทิชชู่จากเธอมาซับแขนของตัวเอง ‘เธอไปล้างแขนที่ห้องน้ำก่อนมั้ย เดี๋ยวเราเช็ดตรงนี้เอง’ รีบพูดแทรกตอนที่เห็นเขากำลังจะก้มลงไปเช็ดพื้นที่เลอะน้ำชามะนาว ไม่เพียงแค่นั้นยังดันตัวของเขาให้ถอยออกจากบริเวณนั้น กึ่งๆ บังคับไล่ให้เขาไปเข้าห้องน้ำ

วันนั้นเราไม่ได้คุยอะไรกันต่อมากนัก แต่สัปดาห์ต่อมา ที่ไอ้ลูคัสก็ยังคงหายหัวไปไหนซักที่ ระหว่างพักเบรกหลังกลับมาจากห้องน้ำ บนโต๊ะของเชนมีขนมห่อเล็กๆ อยู่สองสามห่อ พร้อมกระดาษโพสอิท เขียนข้อความด้วยลายมือน่ารักว่า ‘ขอโทษอีกรอบนะ TT’

ไม่มีการลงชื่อใดๆ แต่เชนรู้ดีว่าเป็นใคร เพราะตอนที่เขาหันไปมองเธอ เด็กต่างโรงเรียนคนนั้นก็ยิ้มแห้งๆ ให้เขา และหลังจากนั้นไม่นาน ผ่านการแนะนำตัวระหว่างเรา เขาก็ได้รู้ว่าเธอชื่อ ‘จินนี่’

ใช่ครับ จินนี่

เด็กสาวหน้าหมวย รอยยิ้มตาหยี และกระโปรงสีแดง เสื้อตัวใหญ่โคร่งคนนั้นแหละ

 

 

–––

 

 

“นึกว่าแกจะโดดเรียนแล้ว”

“ฉันไม่ใช่แกซักหน่อยยย”

กระเป๋าเสื้อผ้าขนาดกลางถูกเหวี่ยงมาชนขาของเขาเบาๆ แทนการแก้แค้นที่ไปแซวกันแบบนั้น จินนี่ยังไม่หายหอบแฮ่ก หลังจากโบกวินมอเตอร์ไซค์นั่งออกมาหน้าปากซอย ก่อนจะวิ่งหน้าตั้งมาหาเขาที่สถานีรถไฟฟ้า เจ้าตัวเล่าความวุ่นวายประจำวันนี้ให้เขาฟัง เหตุที่ทำให้ออกมาจากโรงเรียนช้าเพราะดันไปสลับกระเป๋าเสื้อผ้ากับนักเรียนคนอื่น โชคยังดีที่เด็กคนนั้นยังไม่ได้ออกไปไหนไกล ทำให้เธอยังตามกระเป๋าได้ทัน

“แล้วทำไมวันนี้มีกระเป๋าเสื้อผ้าด้วยอะ ปกติไม่เห็นแกถือไปเรียนด้วยเลย”

เชนถามระหว่างที่พวกเรากำลังโหนรถไฟฟ้าไปสถานีสยาม เตรียมไปเรียนพิเศษประจำเย็นวันศุกร์ด้วยกัน

“ม๊าติดธุระอะดิ เลยไม่ได้แวะมาเอากลับไป”

จินนี่เล่าให้เขาฟังต่อว่า ปกติแล้วแม่ของเธอจะเป็นคนแวะมาเก็บกระเป๋าเสื้อผ้ากลับไปช่วงเย็น เขาถึงไม่เคยเห็นเธอเดินถือกระเป๋าเยอะแยะมากมายอะไรมาเรียนด้วย

ผ่านได้มาราวๆ หนึ่งเดือนกว่าแล้ว นับตั้งแต่วันที่เขารู้จักกับจินนี่ และก็ผ่านมาได้เกือบเดือนแล้วเช่นกันที่เชนไล่ให้ลูคัสไปสยามก่อน ไม่ต้องรอเขา

เพราะเขาต้องรอจินนี่ก่อน

จะใช้คำว่า ต้อง ก็คงไม่ถูกซะทีเดียว

เพราะเขาตั้งใจจะรอจินนี่ก่อน

อืม แบบนี้คงจะตรงตัวกว่า

พวกเราตัดสินใจมาเรียนพิเศษพร้อมกันหลังจากเริ่มคุยกันบ่อยขึ้น สนิทกันมากขึ้นอย่างเพื่อนต่างโรงเรียนคนอื่นๆ จินนี่เป็นคนสังคมกว้างขวาง เอาเข้าจริงดูเหมือนเธอจะรู้จักแทบทุกคนในห้องเรียนพิเศษแล้วเสียด้วยซ้ำ เชนยังคงสงสัยมาถึงทุกวันนี้ว่าทำไมเขาถึงได้รู้จักกับเธอช้านัก แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยตอนนี้เขาก็ได้รู้จักเธอแล้ว

อาจเป็นเพราะนอกจากจะอยากเข้าคณะเดียวกันแล้ว โรงเรียนของเรายังอยู่ใกล้กัน และเมื่อปีก่อนก็มีนักเรียนจากโรงเรียนของจินนี่มาแข่งบาสที่โรงเรียนของเขา จินนี่บอกว่าเพื่อนสนิทของเธอก็มาแข่ง และดูท่าจะเป็นนักบาสผมสั้นตัวสูง หน้าตาหวานๆ เจ้าของเสื้อบาสเบอร์ 8 ที่เคยทำเด็กโรงเรียนเขาเพ้อไปหลายคน นั่นทำให้เรายิ่งมีหลายๆ เรื่องให้คุยกันได้ไม่หยุดไม่หย่อน

“เลิกเรียนแล้วรีบกลับปะ กินข้าวกัน” เชนเอ่ยชวนเหมือนกับทุกครั้ง แต่ดูเหมือนวันนี้จะผิดปกติก็ตรงที่อีกฝ่ายไม่ได้ตอบรับในทันที กลับมีท่าทางลังเลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ไม่แน่ใจเลยอะ ว่าพี่จะมารับรึเปล่า”

“อ่อ โอเค ไม่เป็นไรๆ”

“ซอรี่นะแก ไว้อาทิตย์หน้าๆ จะไปกินร้านที่แกอยากกินด้วยเลย เคปะ”

“โอเคๆ”

พูดแล้วยิ้มให้กันแบบนั้น ไม่โอเคก็ต้องโอเคแล้วเปล่าวะ

เชนไม่รู้ว่าความรู้สึกในตอนนี้คืออะไร แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธว่า เขาหวังว่าระหว่างพวกเราจะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้ ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนอย่างที่บอกใครๆ แม้ว่าไอ้ลูคัสจะชอบแซวนักหนา แถมยังเอาไปเล่าให้เพื่อนอีกคนอย่างมาร์คฟังบ่อยๆ ว่าเขากำลังตามจีบสาวอยู่ ซึ่งนั่นไม่จริงเลยซักนิดเหอะไอ้สัดคัส

เราก็แค่คุยกัน อย่างที่เพื่อนคุยกันตามปกติ เพียงแต่เป็นเพื่อนที่มีความพิเศษมากกว่าคนทั่วๆ ไป สำหรับเชนน่ะนะ แต่สำหรับจินนี่แล้ว เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเธอจัดเขาไว้ในหมวดไหน อาจจะเป็นเพื่อนต่างโรงเรียนอย่างเพื่อนคนอื่นที่เธอคุยด้วยก็เป็นได้

ที่นั่งของพวกเราถูกเขยิบมานั่งติดกัน จากที่ห่างกันสองที่ก็ลดลงเหลือหนึ่ง จนสุดท้ายก็ไม่มีใครมานั่งแทรกกลางได้อีก ดินสอแท่งนั้นที่จินนี่เคยยืมไป ถูกเปลี่ยนเป็นปากกาแท่งอื่น ไฮไลท์แท่งอื่น หรือแม้แต่ยางลบก้อนอื่น เขากลายเป็นกระเป๋าดินสอส่วนตัวของจินนี่เพราะเธอมักจะลืมนู้นลืมนี่อยู่ทุกอาทิตย์ จนบางครั้งก็เคยลืมหนังสือที่ต้องใช้เรียนไว้ในโรงเรียน

“แก”

“ลืมไรอีก”

“บ้า ไม่ใช่เหอะ” จินนี่หัวเราะเบาๆ หลังจากที่จู่ๆ ก็ยื่นมือมาสะกิดเขาเรียกเขา ตอนนี้เป็นช่วงพักเบรก คนอื่นในห้องแยกย้ายกันออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย รวมถึงลูคัสที่หาเรื่องออกไปหาซื้อของกิน ทั้งห้องเหลือแค่นักเรียนไม่กี่คน หนึ่งในนั้นคือพวกเราที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับตัวไปไหน “เดือนหน้าจะจบคอร์สนี้แล้วอะ”

“อ่าฮะ”

“แกจะลงของเทอมหน้าปะ”

เธอถามพร้อมกับหันมามองหน้าเขา

“ก็…” เชนลังเลไปชั่วขณะหนึ่ง จริงๆ แล้วเขาไม่ได้แผนจะลงเรียนต่อ เรียกได้ว่ายังไม่ได้คิดหรือตัดสินใจอะไรเท่าไหร่ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังรอคอยคำตอบ จากสายตาที่จดจ้องและมองเขาอยู่ เขาจึงถามย้อนกลับไป “แล้วแกอะ ลงปะ”

“ทำไม” เธออมยิ้มเล็กๆ หรี่ตามองอย่างจับผิด “ถ้าฉันลงแกจะลงเหมือนกันรึไง”

“ก็…ได้นะ”

“บ้า ถามจริง”

“จริง เขาก็สอนดีนะ”

“ขี้โม้แล้ว แกไม่เห็นจะตั้งใจเรียนเลย”

“ก็แกชวนคุยไง”

“อ่อเหรอ ฉันทำให้แกไม่ตั้งใจเรียนเหรอเนี่ย” เธอพูดประชดด้วยน้ำเสียงติดตลก ไม่คิดจริงจัง และนั่นยิ่งทำให้เขายิ้มกว้างเข้าไปใหญ่

“ใช่ แกทำให้เราไม่ตั้งใจเรียน”

เพราะชอบเผลอไปมองแก

เพราะชอบเอาแต่คิดถึงแก

“เวลาเรียนก็อยากคุยกับแกตลอด”

เขาเผลอพูดออกไป เพราะในใจเอาแต่คิดโทษว่าคนตรงหน้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฟุ้งซ่าน จนพักหลังมานี้ยิ่งเรียนไม่รู้เรื่องกว่าเดิม จินนี่ชะงักไปเล็กน้อย เธอหลบสายตาหนีไปทางอื่น ริมฝีปากเล็กทำท่าจะขยับพูดอะไรแต่ก็เม้มเข้าหากันอยู่หลายครั้ง

“ตะ…ตลกละ คุยเวลาอื่นไม่ได้เลยรึไง”

“ได้มั้ยล่ะ” เชนถามกลับ

“ฮะ”

“คุยได้มั้ยล่ะ”

ที่ผ่านมาเชนไม่เคยแสดงออกชัดเจนว่าเขาคิดอย่างไร

ไม่เคยออกตัวว่าจีบจินนี่อยู่อย่างที่ไอ้ลูคัสชอบเอาไปเผาให้มาร์คฟัง

“ก็…”

“จริงๆ ก็อยากคุยด้วยตลอดนั่นแหละ”

ผิดกันกับตอนนี้ที่เขาลองพูดอะไรที่อยู่ในใจออกไปบ้าง

ลองเสี่ยงดูซักครั้ง

ดีกว่าไม่ได้พูดออกไป

ดีกว่าไม่ได้แสดงออกบอกให้เขารู้

“…พูดเหมือนปกติไม่ได้คุยอะ”

เพราะบางที ผลลัพธ์มันก็อาจจะดีอย่างที่เราหวังไว้จริงๆ

 

 

 

 

#จีบแจม #จินนี่จ๊ะ

ตามสัญญาที่เคยทำโพลถามไว้ 

จริงๆ เราตั้งใจจะเขียนสเปของเชนกับจินนี่สมัยรู้จักกันแรกๆ มานานแล้ว แต่ก็คิดอยู่หลายตลบว่าควรลงดีไหม กลัวว่าจะเป็นการทำให้ช้ำใจ (หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าช้ำใจเพราะอะไร) แต่สำหรับเราเรื่องราวของสองคนนี้แต่ก่อนเป็นความทรงจำดีๆ ช่วงหนึ่งทีเดียวเลย เป็นเหตุผลว่าทำไมเชนอยากหนีเขาแทบตายแต่สุดท้ายก็ลืมไม่ลงซักที เพราะเคยหวังกับความสัมพันธ์ เคยมีความหวังมาแล้วนั่นแหละ

แล้วก็สุขสันต์วันเกิดน้องเหรินจวิ้นคนดีของพี่ แง มีความสุขมากๆ นะคับคนเก่ง ❤

 

ก็หวังว่าทุกคนจะยังไม่ลืมนุ้งเชนและเจ้าจินนี่เนอะ คิดถึงเสมอค่ะ 

ติดแท็ก #จีบแจม หรือ #จินนี่จ๊ะ ได้หมดเลย เราไม่รู้จะเลือกแท็กไหนด้วย ฮื่อ

แล้วก็เร็วๆ นี้น่าจะมีอัพเดทเกี่ยวกับจีบแจมมาบอกแหละ :3

ขอบคุณค่า

 

@sweetlimeandtea

os : treat me like you do #markmin

 

 

มาร์คประคองใบหน้าของเขาไว้ ไล่ริมฝีปากลงมาที่ปลายคางมน เคลื่อนลงมาเรื่อยๆ จนตรงลูกกระเดือกก่อนกดจูบเบาๆ อย่างหยอกเย้า แกล้งให้เขาต้องเผลอกลืนน้ำลายและเชิดหน้าขึ้น ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาแนบชิดได้มากยิ่งกว่าเดิม

 

“เดี๋ยวมาร์ค…” เขาครางอื้อในลำคอตอนที่ริมฝีปากอุ่นขบเม้มบนเนินไหปลาร้าช้าๆ ปรือตามองเพดานและจับลูบกลุ่มผมของคนเด็กกว่าไว้ พยายามจะบอกอะไรบางอย่างแต่ก็สติหลุดตอนที่มือของมาร์คเลื่อนไล้เข้ามาใต้เสื้อยืดและบีบช่วงเอวเบาๆ แตะลูบช้าๆ ไล่สูงขึ้นมาจนช่วงอก ลูบผ่านจนแจมินเผลอเกร็งตัว

 

ให้ตาย เด็กนี่ใจร้อนชะมัด

 

เขาแค่จะบอกว่าเรายังไม่ได้ล็อคประตูห้อง

 

แต่เหมือนจะห้ามอะไรไม่ทันอีกแล้วและตัวเขาเองก็ไม่อยากหยุดอีกต่อไป

 

เสื้อยืดสีดำสนิทของแจมินถูกรั้งขึ้นและถอดพ้นออกไปอย่างไร้ทิศทาง เปิดเปลือยผิวกายเนียนที่มาร์คแสนคิดถึง ชวนให้ฝังใบหน้าเข้าไปแนบชิด เขาสูดลมหายใจเข้าลึก กลิ่นกายเจือกลิ่นน้ำหอมที่มาร์คจำได้ดีทำให้เขายิ้มออกมา หากไม่ได้ใกล้ชิดกันขนาดนี้เขาคงไม่มีทางรู้ว่าแจมินยังใช้น้ำหอมที่เลือกให้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

 

ริมฝีปากของมาร์คจูบหนักๆ ลงมาบนอกของเขา ทิ้งร่องรอยตามทางที่สัมผัสจนเขาอยากนึกต่อว่าเพราะกลัวจะเป็นรอยเห็นได้ชัด แต่ก็ห้ามอะไรไม่ได้ เผลอโอนอ่อนไปกับการกระทำของคนเด็กกว่า เหมือนกำลังถูกมอมเมายิ่งกว่าการดื่มเหล้าก่อนหน้านี้

 

เสียงหัวเข็มขัดของแจมินดังกระทบกันพอจะเรียกสติของเขาได้ และรู้ตัวว่ามันกำลังจะไปไกลเสียยิ่งกว่าตอนนั้น

 

ในเมื่อตอนนี้เราไม่ได้เป็นอะไรกันเลยด้วยซ้ำ

 

ความคิดของเขาเหมือนถูกซัดหายไปเพราะมวลความรู้สึกระลอกใหญ่ตอนที่มาร์คปลดกระดุมกางเกงออกและลูบสัมผัสใจกลางกายผ่านเนื้อผ้า ดึงรั้งกางเกงวอร์มของเขาออกจนเหลือเพียงแค่ชั้นในตัวเดียว เพียงแค่นั้นก็ทำเอาลมหายใจของเขาติดขัด หลุดครางจนต้องยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้ มืออีกข้างปัดป่ายไปทั่ว พยายามไล่จับศีรษะของอีกฝ่ายที่กำลังขยับลงต่ำและจูบเม้มตามผิวเนียนจนเป็นรอยแดง

 

“มะ…มาร์ค”

 

แจมินใช้ข้อศอกค้ำไปข้างหลัง ยันตัวเองขึ้นมาจากเตียง ดวงตาหวานปรือมองภาพตรงหน้า พยายามควบคุมการหายใจของตัวเองแต่เหมือนมันจะรวนกว่าเดิมเพราะสายตาของเด็กร้ายกาจที่ช้อนมองตอนกำลังจับขาของเขาข้างหนึ่งยกขึ้นพาดบนบ่า

 

“ครับ” ขานรับเบาๆ ก่อนก้มลงไปจูบลงบนต้นขาข้างใน

 

“ยะ…อย่าแกล้ง…”

 

เขาเป็นฝ่ายยอมแพ้ ถอนสายตาออกไปมองทางอื่น ใบหน้าเชิดมองเพดานโล่งๆ ที่ไม่ต่างจากความคิดในหัวของเขาตอนนี้ ความร้อนในกายเริ่มสูบฉีด อาจเป็นเพราะเครื่องดื่มมึนเมาก่อนหน้านี้รวมถึงสัมผัสที่แตะลงบนจุดอ่อนไหวของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่มีเนื้อผ้าใดๆ ขวางกั้นเมื่อผ้าชิ้นส่วนสุดท้ายถูกรูดรั้งออกไปจนตอนนี้ตัวของเขาเปลือยเปล่าโดยสมบูรณ์

 

เขามาถึงตรงนี้ได้ยังไงวะ

 

ให้ตาย นาแจมิน

 

คำถามต่างๆ ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังจนเหมือนมันไม่สำคัญอีกต่อไป สัมผัสปลุกเร้าจากฝ่ามือและริมฝีปากกำลังไล่จูบซ้ำๆ เหมือนต้องการซึบซับทุกส่วนของร่างกายนี้ไว้

 

มาร์คลีน่ะเป็นเด็กฉลาด แน่นอนว่าแจมินรู้เรื่องนี้ดีที่สุดเพราะเขาสอนทุกอย่างให้กับอีกคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในห้องเรียนหรือเรื่องบนเตียง ก็เรียนรู้ไวจนเหมือนจะแก่แดดเกินวัยเสียด้วยซ้ำ แต่นั่นก็ทำให้เราเติมเต็มกันและกันได้ เหมือนกับตอนนี้ที่ไม่ต้องบอกอะไร เด็กนั่นก็หัวไวพอจะเรียนรู้และจดจำได้เหมือนเดิมว่า สัมผัสตรงไหนที่จะทำให้กายของเขาดิ้นเร่า หลุดร้องครางจนไม่สนใจว่าใครข้างนอกอาจจะได้ยิน

 

“พี่ยังเหมือนเดิม” พูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากจนเขาร้อนไปทั้งหน้ายิ่งกว่าเดิม

 

“หยุดพูดน่า…อื้อ”

 

สัมผัสเริ่มรุกล้ำไปทางด้านหลังจนแจมินสะดุ้งกาย แม้จะเป็นเพียงแค่การกดนิ้วเข้ามาช้าๆ ค่อยๆ เคลื่อนถอนเพื่อให้เขาปรับตัวได้

 

“คนเก่งของผม”

 

มาร์คจูบรับความเจ็บปวดของเขาที่ปริ่มตรงหางตาอย่างปลอบโยนก่อนจะกดจูบซ้ำๆ อีกครั้งที่ริมฝีปาก จากความเจ็บปวดในตอนแรกเริ่มเปลี่ยนความรู้สึกโหวงๆ ก่อนมันจะแล่นวาบพาเอาปลายเท้าเกร็งจิกกับเบาะเตียง คนที่ประคองกอดเขาไว้ถอนมือออกไปเพื่อเตรียมจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองที่ยังอยู่ครบชุดแตกต่างจากเขา แจมินค่อยๆ เขยิบตัวไปยั้งมือของอีกฝ่ายไว้ ก่อนวางเข่าคร่อมคนเด็กกว่า ดวงตามองประสานกันตอนที่เขายังลูบมือผ่านลอนกล้ามท้องจางๆ พร้อมกับดึงรั้งเลิกเสื้อยืดน่ารำคาญนั่นออกด้วยตัวเอง เข้าไปจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มของมาร์ค จนถูกอีกฝ่ายหอมกลับคืนฟอดใหญ่ในขณะที่มือหนาเริ่มเล่นซนลูบไล้ไปตามร่างกายเขาอีกครั้ง บีบเค้นสะโพกและเนื้อนิ่มข้างหลังจนเขาเผลอแอ่นตัวเข้าหา พาอะไรๆ ที่ยังไม่ได้ปลดปล่อยให้แนบชิดๆ กับตัวของคนตรงหน้ามากกว่าเดิม

 

“พี่แจมิน”

 

มาร์คพึมพำชื่อของเขาซ้ำๆ ที่ข้างหูไม่ต่างจากเขาที่พร่ำเรียกชื่ออีกฝ่ายไม่หยุดตอนที่เราเริ่มคลอเคลียร่างกายเข้าหากัน รับรู้ไออุ่นและความรู้สึกที่ถูกจุดติดในกายอีกคน มือของแจมินเลื่อนลงไปปลดกระดุมกางเกงของมาร์คและรั้งซิปลงโดยที่เรายังไม่ผละริมฝีปากออกห่างจากกัน ล้วงเข้าไปในกางเกงเพื่อสัมผัสตัวตนที่บ่งบอกว่าเด็กตรงหน้ากำลังอดทนมากแค่ไหน มาร์คเผลอจูบเขาแรงขึ้นตอนที่เขาแกล้งนวดคลึงเบาๆ พอให้อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาซ้ำอีกครั้ง เลื่อนมือมาจับมือของเขาไว้ก่อนมืออีกข้างจะล้วงหยิบเอาซองถุงยางอนามัยออกมา

 

ให้ตายเถอะมาร์คลี

 

นี่เขาตกหลุมเด็กนี่อีกแล้วใช่มั้ย เตรียมพร้อมขนาดนี้เนี่ย

 

แจมินมองด้วยสายตาคาดโทษตอนโดนผลักให้นอนราบบนเตียงเหมือนเดิม รับเอาตัวตนของคนที่เขาโหยหาและคิดถึงมาโดยตลอด ความรู้สึกเหล่านั้นค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยสัมผัสและการกระทำของเด็กตรงหน้า แทรกพาตัวเองเขามาหาเขาช้าๆ ให้เวลากับเขาเพื่อปรับตัวหลังจากเราไม่ได้อยู่แนบชิดกันมานาน แจมินเผลอกัดริมฝีปากแน่น จนมาร์คก้มลงมาจูบเพื่อให้ลืมความเจ็บพวกนั้น ขยับช้าๆ จนเขาครางอื้อในลำคอ ปล่อยเสียงออกมาตอนที่จูบถอนออกไป เรียกชื่อของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนเก่าซ้ำๆ ทุกครั้งที่แรงนั้นโถมกายลงมา

 

เราต่างหลงมัวเมาในกันและกันเหมือนกับตอนนั้น

 

ร้องเรียกชื่อของแต่ละฝ่ายราวกับเรากลัวว่าจะหลงลืมกันไป

 

“ผม…คิดถึงพี่”

 

ประโยคเดิมๆ ถูกบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อ มาร์คโน้มตัวลงมาจูบรุ่นพี่ของเขาอีกครั้ง มือเรียวของแจมินวางลูบลงบนข้างแก้มทั้งสองข้างของเขา จับใบหน้าไว้ให้เราสบตากันตอนที่เขากำลังพาความคิดถึงที่เก็บไว้มานานเข้าไปหา ความเย่อหยิ่งในดวงตาคู่นั้นไม่หลงเหลือแล้ว มีเพียงแค่แววตาหวานที่ปรือมองเขา แพขนตายาวเปียกชื้นและลู่แนบลง เขาก้มลงไปจูบเปลือกตานั้นเบาๆ ตอนที่แจมินหลับตาลง เชิดใบหน้าและกายขึ้นรับแรงของเขา มือของแจมินที่จับประคองใบหน้าของเขาไว้เปลี่ยนเป็นเอื้อมแขนโอบกอดรอบลำคอแทน เกี่ยวรั้งให้ใบหน้าของเขาซบลงบนเนินหัวไหล่ที่เปียกชื้นเหงื่อ ริมฝีปากเล็กแตะจูบเบาๆ ที่บ่าของเขาก่อนกระซิบแนบชิดหู

 

“อื้อ…คิดถึงเหมือนกัน…”

 

ทั้งการกระทำและคำพูดของเขาต่างบอกกันอย่างชัดเจน ส่งผ่านความคิดถึงหากันผ่านร่างกายนี้ เสียงหวีดร้องของรุ่นพี่ของเขาดังก้องตอนที่เราพากันและกันมาถึงสุดปลายทาง มาร์คทิ้งตัวอยู่ภายในนั้นเพื่อซึมซับรับความรู้สึกที่ห่างหายไปนาน การถูกแจมินกอดรัดตัวตนของเขาไว้แบบนี้ มาร์คกดจูบหนักๆ ลงบนแก้มนิ่มของแจมินและลูบผมสีเข้มของอีกฝ่ายที่ยังหอบหายใจไม่ต่างกัน เรากอดเกี่ยวกันแน่น ไม่ถอยกายหนีออกจากกัน และเพียงแค่เขาขยับเบาๆ เพื่อถอนตัวออก คนที่นอนจมเตียงอยู่ก็เชิดหน้าครางเสียงแผ่ว ไม่ได้ตั้งใจจะยั่วเขาแต่ดันจุดติดจนเขาพาตัวเองดันกลับเข้าไปอีกครั้งเร็วๆ อยากจะอยู่ตรงนี้ให้นานขึ้นอีกซักนิด

 

“ดะ…เดี๋ยวก่อน…”

 

“ต่อได้ไหมครับ”

 

“ไอ้เด็กนิสัยไม่ดี”

 

แจมินร้องห้ามแต่กลับกอดรั้งลำคออีกคนเอาไว้แน่นแนบตัว มาร์คอมยิ้มเล็กๆ และขืนตัวออกเพื่อจะสบตากัน แจมินหลับตาลงร้องออกมาเบาๆ เพราะความรู้สึกวูบโหวงในช่องท้องตอนที่มาร์คค่อยๆ ถอนตัวตนออกไป จัดการกับร่างกายตัวเองและโยนถุงยางอนามัยไปยังถังขยะตรงหัวเตียงพอดี โดยที่แจมินจับจ้องมองเขาไม่วางตา มือเล็กค่อยๆ ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่อกายตัวเองไว้ ปกปิดร่างกายที่ยังแดงเพราะกิจกรรมที่เพิ่งจบลง

 

 

 

 

กลับไปอ่านต่อที่ https://writer.dek-d.com/now-ii/story/viewlongc.php?id=1639717&chapter=41 ด้วยนะคะ

 

#yourmyfluffysmile

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด T____T